ไฮโซสายมูฯ ลุยสวน
สามสาวสายมูฯ (มูเตลู-Mutelu) เดินทางรอนแรมทางไกลมาถึงเมืองนครศรีธรรมราช
ต้องมาสักการะศาลหลักเมือง ตั้งอยู่ใกล้ๆ
สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานนครศรีธรรมราช ที่เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
ตัวแม่สายมูฯ ต้องไม่พลาด แล้วไปต่อที่วัดเจดีย์ ทักทาย
“ไอ้ไข่”ขอโชค
ขอลาภ(ปาก) ให้ได้ไปลิ้มลองรสชาติหวานฉ่ำบาดจิต ได้ปลิดผลส้มโอในสวนด้วยมือของตัวเอง
แล้วผ่าดูเนื้อสีแดงๆ พันธุ์พิเศษให้หน่ำใจ
เสร็จภารกิจสายมูฯ สามสาวก็นั่งรถแต๊ก มุ่งสู่ชุมชนบ้านแสงวิมาน
ที่เขาเล่าว่า “พื้นที่นี้เท่านั้น...มีส้มโอรสชาติหวานดี และมีเนื้อส้มโอเป็นสีแดงสด”
จุดเด่นของส้มโอพันธุ์นี้คือ ต้องปลูกที่ตำบลคลองน้อยเท่านั้น
หากไปปลูกที่อื่นรสชาติจะผิดเพี้ยนไปจากเดิม คุณอัมพร
เจ้าของสวนฯ นำเราเข้าโปรแกรมท่องเที่ยวเชิงเกษตร นำเข้าสวนพร้อมเล่าให้ฟังว่า
ส้มโอทับทิมสยาม เป็นผลส้มโอที่สร้างชื่อให้อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ด้วยสีสันที่แดงสดเหมือนดังกับอัญมณีที่ชื่อว่า“ทับทิมสยาม” บวกกับรสชาติที่หวานอร่อย จึงทำให้ส้มโอทับทิมสยาม มีการกล่าวถึงกันอย่างมาก ทั้งที่ผู้ที่ชื่นชอบการรับประทาน รวมถึงเกษตรกรก็หันมาสนใจปลูกส้มโอสายพันธุ์นี้มากเช่นกัน
และกว่าจะมาเป็นส้มโอทับทิมสยามอันเลื่องชื่ออย่างในทุกวันนี้
ก็ไม่ธรรมดานะคะ เพราะส้มโอสีแดงเคยมีปลูกอยู่ที่จังหวัดปัตตานี เนื้อส้มโอสีแดงสด
เป็นสายพันธุ์โบราณและมีรสชาติเปรี้ยว จึงไม่เป็นที่นิยมนำมารับประทาน จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งมีชาวสวนชุมชนเกษตรกรจากบ้านแสงวิมาน
ตำบลคลองน้อย อำเภอปากพนัง มาที่นี่และเห็นว่าเนื้อส้มสีแดงสวยดี จึงนำมาทดลองปลูก
ได้ผลออกมาเป็นเนื้อส้มสีแดงสดเหมือนที่ปัตตานี แต่เนื้อส้มโอกลับมีรสชาติที่หวานขึ้นมาก
ใครๆ ที่ได้ลองชิมก็ชอบ บอกว่าอร่อย ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องหลายปี จนมีรสชาติหวานฉ่ำชื่นใจที่ต้องการ
พร้อมตั้งชื่อให้ใหม่ว่า
“ส้มโอทับทิมสยาม”
ส้มโอทับทิมสยามที่หน้าสวนสุภาสวัสดิ์ ของ คุณพี่สุกัญญา ราคา ขายเริ่มต้นที่ลูกละ 200 บาท ไปจนถึง 400 บาท ส่งไปขายในห้างสรรพสินค้า ลูกละ 500 บาทไปจนถึง 800 บาท เหตุผลที่ทำให้ราคาขายต่อผลค่อนข้างสูงนั้น เป็นเพราะล้งที่ส่งออกผลไม้ไปยังประเทศจีนและฮ่องกง มาเหมาผลผลิตจากชาวสวนโดยตรงหลังจากที่ส้มโอเก็บผลผลิตได้ ทำให้คนไทยอย่างเราต้องซื้อส้มโอทับทิมสยามรับประทานในราคาสูง