หนังสือ สมุดบันทึกที่น่าอ่านน่าใช้นั้น นอกจากเนื้อหาและการออกแบบรูปเล่มแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่จะเพิ่มคุณค่าและความคงทนในการเก็บรักษาได้มากขึ้น คือการเข้าเล่มหนังสือ
หนังสือมีวิธีการเข้าเล่มหลากหลายรูปแบบ โดยแต่ละแบบมีข้อดี เช่น ความทนทาน ความสวยงาม และความเหมาะสมที่แตกต่างกันออกไป การเข้าเล่มบางวิธีอาจจะทำได้หรือไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขอื่นๆ ด้วย เช่น ขนาดของหน้าหนังสือ หรือจำนวนหน้า (ความหนาบาง) เป็นต้น
เราลองมารู้จักการเข้าเล่มแต่ละแบบกันดีกว่า…
1. เข้าเล่มแบบไสกาว (Perfect Binding)
![](http://zujipuli.com/img/upload/content/20191123155547_915288975.png)
เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากมีความเรียบร้อย ราคาไม่สูงเกินไป ขั้นตอนคือ นำกระดาษที่พับเรียงหน้าเรียบร้อยแล้ว มาไสกระดาษด้านข้างแล้วนำไปผ่านกาวร้อนติดเข้ากับปก
วิธีนี้เหมาะสำหรับหนังสือที่มีความหนาประมาณ 80 หน้าขึ้นไป (จำนวนหน้าจะหาร 4 ลงตัว เนื่องจากเป็นกระดาษพับ เรียงด้านพับเป็นสันเล่ม หากมีเศษ 2 หน้าจะเป็นแผ่นปลิว ซึ่งจะมีโอกาสหลุดจากเล่มได้ง่าย) เช่น นิตยสาร ตำราเรียน แต่ข้อเสียของวิธีนี้คือ ด้วยความที่มีความแน่นหนาในการเข้าเล่มไม่มาก จึงทำให้ไม่สามารถกางหนังสือออกได้ 180 องศา ผ่านกาวอัดขอบกระดาษด้านสัน และเมื่อเวลาผ่านไปนานๆ กาวอาจจะเสื่อมสภาพ ทำให้หน้าหนังสือหลุดออกจากกัน
การเข้าเล่มวิธีนี้ มีอายุการใช้งานประมาณ 10 ปี แต่หากอยู่ในที่ที่มีอุณหภูมิสูง มีแดดส่อง อายุการใช้งานจะลดลง
รู้หรือไม่! ที่ต้องไสสันก่อนทากาว เพื่อจะทำให้ยึดติดกระดาษได้ดี และนั่นคือที่มาของ “ไสกาว”
2.เข้าเล่มแบบเย็บมุงหลังคา(Saddle Stitching)
![](http://zujipuli.com/img/upload/content/20191123155603_495455050.png)
เป็นรูปแบบที่นิยมใช้กับการเย็บสมุด หนังสือ ที่มีจำนวนหน้าไม่เกิน 80 หน้า (จำนวนหน้าต้องหาร 4 ได้ลงตัวเสมอ) เช่น นิตยสารแจกฟรีต่างๆ ที่สถานีรถไฟฟ้า วิธีการคือ นำกระดาษทั้งเล่มมาเรียงกันแล้วพับครึ่ง จากนั้นใช้เครื่องเย็บลวด เย็บตรงแนวพับ 2–3 ตัว
3. เข้าเล่มโดยเข้าห่วง (Ring Binding)
![](http://zujipuli.com/img/upload/content/20191123155620_277540317.png)
มีความสวยงาม หลากหลาย เนื่องจากมีวัสดุและสีสันของห่วงให้เลือกมาก ไม่ว่าจะเป็นห่วงพลาสติก หรือห่วงเหล็ก แต่ราคาเล่มการเข้าเล่มแบบนี้จะสูงกว่าแบบไสกาว
ข้อดีของการเข้าเล่มแบบเข้าห่วง คือ สามารถกางหนังสือออกได้ถึง 360 องศา นิยมใช้กับงานพิมพ์ที่มีความหนาตั้งแต่ 0.5–3.2 เซนติเมตร เช่น ปฏิทิน สมุดบันทึก หรือหนังสือคู่มือ ซึ่งจำนวนหน้าของหนังสือที่เข้าเล่มแบบนี้ หากหาร 2ลงตัวก็สามารถเข้าเล่มได้
4. เข้าเล่มกาวหัว (Padding)
![](http://zujipuli.com/img/upload/content/20191123155633_417870448.jpg)
ใช้สำหรับพวกสมุดฉีก กระดาษโน้ต คูปองส่วนลด ฯลฯ เป็นการเข้าเล่มสำหรับให้ฉีกออกไปใช้ได้ง่าย วิธีการก็ง่ายมาก เอากระดาษมาเรียงกันเป็นตั้ง แล้วเอากาวทาที่สันตรงหัวกระดาษ จึงได้ชื่อว่าการเข้าเล่มแบบ “กาวหัว”
5. เข้าเล่มแบบเย็บกี่ (Thread Binding)
![](http://zujipuli.com/img/upload/content/20191123155734_204212653.png)
เป็นการเข้าเล่มหนังสือที่ซับซ้อน แต่มีความแข็งแรงที่สุด เหมาะสำหรับใช้เข้าเล่มหนังสือที่มีความหนา เปิดปิดบ่อยจึงต้องการความคงทนเป็นพิเศษ เช่น พจนานุกรม สารานุกรม หนังสืออ้างอิง และนวนิยายชนิดปกแข็งเป็นต้น
การเข้าเล่มแบบเย็บกี่มีวิธีการทำซับซ้อนพอสมควร เริ่มตั้งแต่นำกระดาษเนื้อในทั้งเล่มแยกพับ 8 หน้าบ้าง 16 หน้าบ้าง ตามขนาดหนังสือที่ต้องการ จากนั้นเย็บแยกแต่ละส่วน ในการผลิตจะนับเป็น “ยก” ด้วยเส้นด้าย เรียกว่า “กี่” ซึ่งจะเย็บร้อยแต่ละกี่ รวมกันเป็นเล่มใหญ่ หุ้มด้วยปกอีกชั้นด้วยวิธีผ่านกาว
ใน 5 วิธีที่กล่าวมานี้ การเข้าเล่มแบบเย็บกี่ มีต้นทุนแพงที่สุด เนื่องจากวิธีการทำที่ซับซ้อน ยุ่งยาก ผลลัพธ์คือความแข็งแรง ทนทานที่สุด และกางออกได้กว้างถึง 180 องศา แม้ว่ากาวที่นำมาผ่านตรงสัน นานไปอาจค่อยๆ เสื่อมสภาพ แต่การผนึกปกกับเล่มหนังสือด้วยใบพาด ปิดพับสันด้วยเยื่อตาข่าย ทำให้หนังสือหรือสมุดที่เข้าเล่มแบบเย็บกี่อยู่ได้เรียบร้อยดี
![](http://zujipuli.com/img/upload/content/20191123155751_188969261.jpg)
วันนี้ Zujipuli คิดให้คุณมากกว่านั้น เพราะ PLANNER 2019 ของเรา ได้นำสิ่งที่ดีที่สุดจากการเข้าเล่มแบบต่างๆ มาประยุกต์ใช้
โดยผสมผสานระหว่างการเข้าเล่มแบบเย็บกี่ผ่านกาว ไม่ติดกาวที่สัน และเพิ่มให้มีรอยพับครึ่งตรงกลางสัน ผลลัพธ์ที่ได้คือความคงทน และการใช้งานที่กางออกได้จนสุด 180 องศา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Otabind
เพื่อการใช้งานที่คุ้มค่ากว่า และทนทานกว่ามีอายุการใช้งานเกิน 10 ปีก็คุ้มค่าแล้ว
![](http://zujipuli.com/img/upload/content/20191123155809_863334867.jpg)